รีวิว BlueSpice & Herbs @ Terminal 21 บุฟเฟ่ต์คุณภาพไม่จำกัดเวลา ราคาเป็นมิตร

  • Bac
  • 20/12/2016
Ccroljre igynbess ag8u6761

เมื่อพูดถึงอาหารบุฟเฟ่ต์ หลายคนอาจนึกถึงการเน้นปริมาณกับคุณภาพพอไปวัดไปวาได้ ไม่ก็คุณภาพดีแต่ราคาเฉียดพัน แต่ที่ BlueSpice & Herbs อยู่กึ่งกลางระหว่างสองสิ่งคือ คุณภาพดีแทบทุกเมนูและราคาไม่แพงเกินไป

BlueSpice & Herbs ชื่อนี้อาจฟังไม่คุ้นหูแต่ถ้าบอกว่านี่เป็นเครือของร้านอาหาร “สีฟ้า” ก็น่าจะยืนยันคุณภาพได้ดีกับประวัติอันยาวนานกว่า 80 ปี …ร้านนี้ตั้งอยู่ที่ Terminal 21 ชั้น 5 ใกล้บันไดเลื่อน ถ้ามองจากหน้าร้านอาจดูเหมือนไม่มีลูกค้า เพราะความจริงแล้วตัวร้านส่วนของบุฟเฟ่ต์อยู่ลึกเข้าไปด้านในและกว้างใหญ่ เหมือนหลุดมาอยู่อีกโลกยังไงยังงั้น

อาหารที่นี่มีหลากหลายตามฤดูกาล ซึ่งช่วงที่ผมไปก็มีราคาประมาณ 500 บาทและไม่จำกัดเวลา โดยเปิดให้บริการ 2 ช่วงเวลาคือ 12:00 – 14:30 น. และ 18:00 – 22:00 น.  แบบไม่จำกัดเวลาคล้ายกับ Takumi ที่เราเคยรีวิวกันไปเมื่อปีก่อน แต่ถ้าเป็นช่วงวันหยุดก็จะเปิดให้บริการแบบ all day ตั้งแต่ 12:00 – 22:00 น.

บรรยากาศในร้านคล้ายกับห้องอาหารในโรงแรม โดยแบ่งประเภทอาหารเป็นกลุ่มเช่น อาหารไทยที่เป็นกับข้าว อาหารญี่ปุ่นจำพวกซูชิ แซลมอนซาซิมิ และยังมีอีกหลากหลายเมนูทั้งสเต็ก ชาบู ขนมเค๊ก ตามสไตล์ของบุฟเฟ่ต์นานาชาติ

เราสามารถสัมผัสความเป็นสมุนไพรได้ตั้งแต่น้ำดื่ม ซึ่งจุดเด่นก็คือเป็นน้ำดื่มที่มีรสและกลิ่นสมุนไพรแต่ไม่หวานเหมือนเครื่องดื่มบรรจุขวดทั่วไป และด้วยรสชาติอ่อนๆ แบบนี้ทำให้กินได้ลื่นกลืนได้ง่ายทั้งแบบร้อนและเย็น

เมนูที่นี่ค่อนข้างหลากหลายและเด็ดแทบทุกเมนู อย่างเช่นชาบูที่ให้เราเลือกคีบวัตถุดิบส่งให้พ่อครัวปรุง …ซึ่งอาจฟังดูธรรมดา แต่ที่ไม่ธรรมดาก็คือรสชาติที่ออกมามีรสและกลิ่นเป็นชาบู โดยเฉพาะปลาแซลมอนที่ทำเอาทีมงานประทับใจ เพราะเนื้อแซลมอนไม่แข็งกระด้างเหมือนร้านทั่วไป ยังคงมีความนุ่มแบบเป็นลิ่มๆ แบบสุกกำลังดี

กลุ่มของอาหารไทยที่หาได้ยากก็อย่างเช่น ลาบและเมี่ยงปลาที่ยังคงชูจุดเด่นด้วยความสุกแบบกำลังดี ทำให้เนื้อปลาไม่แข็งกระด้างแต่ยังคงมีหนังที่กรุบกรอบ ผสมกับน้ำจิ้มและเครื่องเคียงไทยๆ แบบหวาน เผ็ด เปรี้ยว ครบรส… ทำเอาผมกินไม่หยุดเลยทีเดียว

จุดเด่นของ BlueSpice & Herbs มีลักษณะคล้าย “สีฟ้า” ตรงที่เน้นความเป็น original สูตรต้นตำรับดั้งเดิมที่หาได้ยากในสมัยนี้ แบบที่กินแล้วคิดถึงวันวาน ประกอบกับการเลือกใช้วัตถุดิบที่มีคุณภาพ ช่วยรีดรสและกลิ่นออกมาได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะกลิ่นสมุนไพรเครื่องเทศที่ถูกลืมเลือนไปจากสังคมยุคนี้ อย่างเช่นแกงมัสมั่นที่มีรสและกลิ่นเหมือนคุณยายผมทำให้กินตอนเด็กไม่มีผิด หรือแม้เมนูกับข้าวแบบไทยๆ ทั้งหลายก็ให้รสชาติเข้นข้นเหมือนอาหารยุคก่อน

แต่ถึงตรงนี้นี่เองที่ทีมงานผมก็เริ่มเสียงแตก โดยฝั่งนึงก็บอกว่า “นี่แหละดั้งเดิม” อีกฝั่งก็บอกว่า “ไม่ใช่” จนหันไปถามทางร้านและได้คำตอบที่น่าสนใจ

ทางร้าน BlueSpice & Herbs ตอบมาว่า “ต้นตำรับดั้งเดิมก็ต้องดูว่าสูตรมาจากที่ไหน อย่างร้านนี้มีรากฐานมาจากร้านสีฟ้าที่อยู่มานานกว่า 80 ปี และรักษาสูตรอาหารแบบเดิม ไม่ว่าจะกินเมื่อ 80 ปีก่อนหรือกินวันนี้ก็รสชาติคล้ายกัน ดังนั้นที่นี่ก็เป็นสูตรดั้งเดิม แต่ก็อาจมีสูตรอื่นๆ ที่มาจากคนละพื้นที่และมีรสชาติกับส่วนผสมต่างกัน ซึ่งก็เป็นดั้งเดิมเหมือนกันแต่มาจากคนละตำรา” …ผมว่านี่คือคำตอบที่ดีสำหรับคนที่ชอบเถียงกันเรื่องของความเป็น “ดั้งเดิม”

แต่ถึงกระนั้น BlueSpice & Herbs ก็ไม่ได้เด่นเฉพาะอาหารไทย เพราะยังมีของโปรดที่ใครหลายคนชื่นชอบอย่าง ซูชิและซาซิมิ ซึ่งถ้าเทียบกับร้านบุฟเฟ่ต์สไตล์นี้ก็ถือว่าทำออกมาได้ค่อนข้างสูงกว่ามาตรฐาน และทีมงานเราที่เป็นเชฟก็บอกว่า “แซลมอนที่นี่คุณภาพดีมาก ถ้าคนที่ไม่เคยกินแซลมอนดีๆ ก็อาจจะไม่ชอบ และติดภาพลักษณ์ว่าแซลมอนต้องมันๆ เพราะแซลมอนที่นี่ไม่เลี่ยนและให้สัมผัสที่ดี”

ในกลุ่มของลูกครึ่งซูชิสไตล์ฟิวชั่น ก็ไม่หวานเลี่ยนจนเกินไปเหมือนบางที่ แต่ละเมนูยังคงมีความนุ่มและความกรุบอย่างที่ควรจะเป็น …ข้อเสียเล็กๆ ที่อาจไม่เล็กสำหรับบางคนก็คือวาซาบิที่ไม่ค่อยมีรสชาติเท่าไร

ในกลุ่มของซีฟู๊ด ผมรู้สึกชอบหอยเป็นพิเศษแบบที่เดินวนตักอยู่หลายรอบ เพราะขนาดที่ค่อนข้างใหญ่และเนื้อก็หนึบหนับเคี้ยวเพลิน

ที่จริงแล้วยังมีอีกหลายเมนูที่ร่ายกันไม่จบง่ายๆ แม้แต่ข้าวเหนียวหมูปิ้งก็ยังมี …แต่ถ้าชอบสไตล์ยุโรปหน่อยก็มีกลุ่มอาหารเส้นๆ เหมือนกัน ซึ่งรสชาติก็มีการปรับเปลี่ยนเล็กน้อยให้ถูกปากคนไทยมากขึ้น อย่างเช่นการตัดแอนโชวี่ที่คนไทยไม่ค่อยคุ้นกับรสชาติ

หลากหลายเมนูขนาดนี้ ถ้าไม่มีกลุ่มของหวานตบท้ายก็กระไรอยู่… เรื่องของหวานผมไม่สันทัดเท่าไร แต่เอาเป็นว่าทีมงานผมกินไม่หยุดเลยจริงๆ ด้วยลักษณะเนื้อเค๊กที่นุ่มกำลังดี กับรสชาติความหวานที่ดึงดูดคนที่รักของหวานได้ไม่ยาก หรือถ้าชอบสไตล์ไทยๆ ก็มีพวกทองหยิบ ทองหยอด และของหวานที่ราดด้วยน้ำกะทิ …ซึ่งที่จริงแล้วก็ยังมีผลไม้ฟองดูกับไอศครีมด้วย

บทสรุป

บุฟเฟ่ต์หลายที่อาจมีเมนูเด่นแค่บางอย่างและมีเมนูอื่นๆ เป็นเพียงตัวประกอบที่ไม่โดดเด่น แต่ BlueSpice & Herbs สร้างความแตกต่างด้วยมาตรฐานความเป็นบุฟเฟ่ต์ที่ค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับราคา หรือเรียกง่ายๆ ว่าอร่อยทุกอย่าง โดยเน้นรสชาติดั้งเดิมที่หาได้ยากจากอาหารยุคนี้ ซึ่งมาจากความเป็น “สีฟ้า” ที่สานต่อสูตรต้นตำรับกว่า 80 ปี

Share this post

Bac
ผมจำความได้ว่าตอนเด็กจะเห็นป๊ากินอาหารจืดมาก รวมไปถึงอากงอาม่าที่แทบไม่ปรุงอะไรเลย โดยเน้นความหอมจากวัตถุดิบและกรรมวิธีการทำ ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ทำได้ไม่ง่ายนัก และไม่ใช่รสที่หาได้จากร้านทั่วไป เรียกได้ว่าผมไม่ได้เจอรสแบบนี้นานมาก จนกระทั่งได้ลองที่ร้าน Ho Kitchen Rama3 Est.2002 แล้วภาพในอดีตตอนยังเป็นเด็กมันย้อนกลับมา มันทำให้ผมเผลอยิ้มอย่างไม่รู้ตัวทันทีที่นึกถึงวันที่ผมยังเด็กและอากงอาม่ายังอยู่ครบ …นี่มันไม่ใช่แค่อาหาร แต่มันคือความทรงจำ อาหารจีนที่กินแล้วรู้สึกดี อย่างที่รู้กันว่าคนจีนเป็นชนชาติที่ให้ความสำคัญกับความเชื่อเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะของกินที่มีความหมายดี และต้องเป็นวัตถุดิบที่ผ่านการปรุงอย่างดีเพื่อให้ดีต่อสุขภาพด้วย โดยเซ็ตที่เรามารีวิวในครั้งนี้เหมาะสำหรับ 10 คน ราคา 8,000 บาท หรือหารตกคนละ 800 บาท เมื่อดูที่เมนูและปริมาณ สำหรับผมรู้สึกว่าไม่เสียดายเงินเลยครับ โดยเฉพาะการพาครอบครัวที่เรารักมานั่งโต๊ะพร้อมหน้ากัน ใช้เวลาความสุขร่วมกัน แค่นี้ก็คุ้มแล้ว ก่อนที่จะเข้าเซ็ต 8,000 บาท อยากแนะนำโปรโมชั่นติ่มซำ 2 แถม 1 โดยเมนูที่เราได้ลองคือ ขนมจีบกุ้ง, ขนมจีบปู, ฮะเก๋า, ก๋วยเตี๋ยวหลอดกุ้งกรอบ, ฟองเต้าหู้กุ้งทอด, ซาลาเปาไส้หมูแดง ซึ่งทุกเมนูให้เนื้อมาเน้นๆ กุ้งเป็นกุ้ง ขนมจีบก็เนื้อแน่นเด้งกินง่ายเต็มปากเต็มคำ ส่วนซาลาเปาไส้หมูแดงก็ให้ไส้มาเยอะ รสชาติเบาๆ ไม่จัด ก๋วยเตี๋ยวหลอดและฟองเต้าหู้ทอด ก็มีความกรุบกรอบเล็กๆ พอให้มีมิติ […]
บังเอิญว่า kabukichō 77 เปิดสาขาใหม่ใกล้ 5 แยกวัชรพล อยู่ตรงข้ามออฟฟิศเราพอดี แบบนี้ไม่ให้ลองก็คงไม่ได้ ร้านนี้มีบุฟเฟต์ 2 ราคาคือ 713 บาท และ 1,189 บาท Net ยกเว้นต้องการเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก็ต้องจ่ายเพิ่ม มีให้เลือก 2 ราคา แพ็คเกจอาหารที่มีให้เลือกคือ 666+ บาท ( 713 บาท ) และ 1,111+ บาท ( 1,189 บาท ) โดยทั้ง 2 ราคาจะรวมเครื่องดื่มและของหวานทั้งหมด ยกเว้นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ชุด 666+ จะมีชาบูเนื้อพรีเมี่ยม เนื้อ US เนื้อ AUS รวมถึงสารพัดซาซิมิ และของดองซอสทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น แซลมอนดอง กุ้งดอง ไข่ดอง และยังมีกลุ่มของเทปันยากิน และเมนูปิ้งย่างเสียบไม้ ส่วนชุด […]
ในช่วงที่ไก่ทอดเกาหลีทยอยมาเปิดสาขาในไทย แต่จุดที่ทำให้ Pelicana ดึงดูดทีมงานเราก็เพราะนี่คือจุดเริ่มต้นของไก่ทอดเกาหลีอันโด่งดัง โดดเด่นด้วยซอสราว 10 รสให้เลือก และสิ่งที่ห้ามพลาดคือชีสบอลที่นำเข้า และข้าวมันไก่ที่พัฒนาขึ้นเพื่อขายในประเทศไทยโดยเฉพาะ หลากหลายเมนูชวนให้ลอง เมนูส่วนใหญ่ของ Pelicana จะเป็นไก่ทอดโดยจุดต่างคือซอสที่แตกต่างกัน เช่น ซอสซิกเนเจอร์, ซอสน้ำผึ้ง, ซอสสโมคกี้ฮอต, ซอสกังจอง, ซอสเผ็ด, ซอสสโมคกี้มาโย, ซอสเผ็ดมาโย, ซอสกระเทียม, ซอสถั่วเหลือง, และโรยผงชีส นอกจากซอสและการปรุงแต่ละแบบแล้ว ยังสามารถเลือกได้อีกว่าจะเอาปีก, ครึ่งตัว, ทั้งตัว ซึ่งถ้าเราสั่งไก่ทอดเราจะได้ไชเท้าดองไม่อั้นด้วย แก้เลี่ยนได้ดีมาก และยังมีของกินเล่นอื่นๆ เช่น ชีสบอล, มันหวานชีสสติ๊ก, แร๊พไก่กรอบ, เบอร์เกอร์ไก่กรอบ และอื่นๆ อีก เราได้ลองไก่กันหลายรสเลยครับ สิ่งที่เราชอบคือแต่ละรสจะมีความแตกต่างกันชัดเจน คาแรกเตอร์เด่น และทุกตัวจะมีความหอมเฉพาะอยู่ เช่น ซอสน้ำผึ้งก็จะหวานๆ กินง่ายๆ, โรยผงชีสก็จะหอมนวล เนื้อนุ่ม แป้งกรอบ ลงตัวมาก แต่ที่อยากแนะนำว่าต้องลองคือไก่ทอดออริจินอลซอสซิกเนเจอร์ เพราะเนื้อสัมผัสมันจะแตกต่างอย่างชัดเจนแบบหาจากร้านอื่นไม่ได้ หนังไก่จะไม่ได้ชุบแป้งกรอบหนาเหมือนตัวอื่น แต่มีความกรอบนอกนุ่มใน ถ้าอยากได้อะไรที่แปลกกว่าไก่ทอด แต่อยากกินไก่ทอด […]